A Hidden Life : ตีแผ่ชีวิตจริงของชายผู้ที่ปฏิเสธการรับใช้ฮิตเลอร์!

A Hidden Life (2019)
Director : Terrence Malick

              หากจะเอ่ยถึงผู้กำกับที่ทำหนังสไตล์พรรนาโวหาร บรรยายสิ่งละอันพันละน้อยออกมาได้อย่างละเอียดละออ คงต้องมีชื่อของ Terrence Malick ติดอยู่ในโพลของทุกสำนักเป็นที่แน่นอน ซึ่งลายเซ็นที่เป็นเอกลักษณ์นี้ยังคงอยู่ในผลงานล่าสุดอย่าง A Hidden Life แทบจะทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่มาด้วยท่าทีที่เป็นมิตร เข้าถึงง่ายได้มากกว่าเรื่องก่อนๆ

                A Hidden Life หยิบยกเอาชีวิตจริงของ Franz Jägerstätter (August Diehl) ชาวนาชาวไร่ฐานะยากจน อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านบนภูเขาในประเทศออสเตรียฝั่งตะวันตก พร้อมกับภรรยานามว่า Fani (Valerie Pachner) และลูกๆวัยกำลังน่ารักอีก 3 คน ตามปกติ Franzs เป็นชายหนุ่มที่มีอัธยาศัยดี เป็นมิตร ใช้ชีวิตราบเรียบและมีความสุขตามอัตภาพ
จนกระทั่งวันที่เขาปฏิเสธการเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหมายถึงการไม่ยอมก้มหัวรับใช้ Adolf Hitler ที่เป็นดั่งวีรบุรุษของคนในหมู่บ้านแซงต์ราเดอกุนด์ในช่วงเวลานั้นอีกต่อไป ทำให้ตัวเขาเองรวมไปถึงครอบครัวถูกประณามหยามเหยียด เกลียดชัง และปฏิเสธการมีตัวตนอยู่จากทุกคนในหมู่บ้าน จวบจนมีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องหวนกลับสู่กองทัพอีกครั้ง แม้กระนั้นเขายังยึดมั่นถือมั่นในอุดมการณ์แห่งสันติภาพนี้ โดยแสดงความกระด้างกระเดื่องด้วยการไม่ยอมกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณฮิตเลอร์จนเป็นเหตุให้ถูกสั่งจำคุก

                สิ่งหนึ่งที่ประทับใจมากคือการเลือกให้ตัวละครหลักพูดภาษาอังกฤษ ในขณะที่ตัวละครอื่นพูดภาษาเยอรมันเท่านั้นและไม่แปลด้วย ทำให้ผู้เขียนเข้าใจว่า Malick ต้องการที่จะลดทอนความชั่วร้ายของนาซีหรือรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ลง เพื่อไปขับเน้นความแน่วแน่ การยืนหยัดต่อสู้กับความไม่ถูกต้องของ Franzs แทน
                อีกทั้งการใช้เทคนิค voiceovers ในหลายๆซีน ทำให้เราเข้าใจระดับอารมณ์ของ Franzs ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความสับสน และการยึดถือความในความถูกต้องจนยอมแม้กระทั่งหันหลังให้กับครอบครัวของตนเอง

                กอปรกับงานภาพที่เป็นเอกลักษณ์อันแข็งแรงของ Malick ที่ครั้งนี้ได้ Jörg Widmer มาเป็นผู้ถ่ายทอด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาพมุมกว้างที่ขับส่งทัศนียภาพอันสวยงาม ทุ่งหญ้าเขียวขจี ภูเขาสูงตะหง่าน ทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทอง หรือมุมกล้องระยะประชิดที่ราวกับได้เดินขนาบข้างไปกับตัวละคร รับรู้ถึงทุกห้วงอารมณ์ และทุกห้วงเหตุการณ์เลยทีเดียว

                ถึงแม้ตัวหนังจะยาวถึง 3 ชั่วโมง มีความราบเรียบและเนิบช้าตามสไตล์ผู้กำกับ แต่หนังก็ถ่ายทอดสุนทรียภาพของความเป็นภาพยนตร์ออกมาได้หมดจดงดงาม เป็นหนึ่งในหนังที่อยากให้ทุกคนเปิดใจกว้างๆ และลองดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองอันโศกเศร้าแต่สวยงามนี้สักครั้งในชีวิต

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น